วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

ชนิดของคำ

การเลือก ใช้คำให้ถูกต้องตามชนิดและหน้าที่จะช่วยให้ สื่อสารทำความเข้าใจได้ตรงตามความต้องการและรวดเร็ว คำในภาษาไทยแบ่งออกเป็น ๗ ชนิด คือ
๑.คำ นาม
๒.คำ สรรพนาม
๓.คำ กริยา
๔.คำ วิเศษณ์
๕.คำ บุพบท
๖.คำ สันธาน
๗.คำ อุทาน

คำนาม
คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สภาพธรรมชาติ สถานที่ต่างๆทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เรียกว่า คำนาม
อ่านและพิจารณาประโยดต่อไปนี้
๑) มนุษย์และลิงกินกล้วยเป็นอาหาร
๒) หลายประเทศในโลกมีเศรษฐกิจดี ขึ้น
๓) มะม่วงเขียวเสวยมีรสชาติอร่อย
๔) นกกางเขนกำ ลันบินกลับรัง
๕) ไม้สักให้ความ หมายในด้านการมียศศักดิ์
คำที่พิมพ์ตัวหนาในประโยคตัวอย่างข้างต้น เป็นคำนามทั่วไป เรียกว่า คำ นามสามัญ ยังมีคำนามสามัญบางคำที่พิมพ์ตัวเอน คือ เขียวเสวย กางเขน สัก เป็นชนิดย่อยของคำนามสามัญ เรียกว่า คำ นามสามัญย่อย ของคำนาม มะม่วง นก และไม้ ตามลำดับ
อ่านและพิจารณาประโยคต่อไปนี้
๑) นักท่องเที่ยวชอบไปชมวัดพระ เชตุพนวิมลมังคลาราม
๒) ประเทศไทย มีสินค้าออกที่สำคัญ คือ ข้าว
๓) วันอาทิตย์หน้า เราจะไปเที่ยวทะเลกัน
๔) ติ๊ดตี่กำลังเล่นกับเจ้า มอมสุนัขตัวโปรด
คำที่พิมพ์ตัวหนาในประโยคตัวอย่างข้างต้น เป็นคำที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ เรียกว่า คำนามวิสามัญ คำนามวิสามัญส่วนใหญ่เมื่อจะใช้มักมีคำนามสามัญ(คำที่พิมพ์ตัวเอน)อยู่ข้าง หน้าด้วย
อ่านและพิจารณาประโยคต่อไปนี้
๑)เสือตาย ๓๕ ตัว เพราะติดเชื้อไข้หวัดนก
๒)นาฬิกาข้อมือเรือนนั้นสวย จริงๆ
คำที่พิมพ์ตัวหนา เป็นคำบอกลักษณะ รูป หรือขนาดของคำนามสามัญ(คำที่พิมพ์ตัวเอน) เรียกว่า คำลักษณะนาม ตัวอย่างคำลักษณะนามอื่นๆเช่น คน เล่ม อัน ชิ้น สาย แท่ง กระบอก ซี่ฯลฯ
อ่านและพิจารณาประโยคต่อไปนี้
๑) ฝูงชน วิ่งเข้าไปเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ลานพิธีแรกนาขวัญ
๒) คณะกรรมการ กำลังประชุมพิจารณาผลการสอบของนักเรียน
คำที่พิมพ์ตัวหนาในประโยคตัวอย่างข้างต้น เป็นคำบอกหมวดหมู่ของคำนามสามัญ เรียกว่า สมุหนาม สมุหนามอื่นๆ เช่น กลุ่ม โขลง หมู่ กอง ชุด พวก เหล่า ทะลาย ฯลฯ
อ่านและพิจารณาประโยคต่อไปนี้
๑) การสลักกาบ กล้วยเป็นงานฝีมือของคนไทย
๒) ความซื่อสัตย์เป็น คุณสมบัติของคนดี
คำที่พิมพ์ตัวหนาในประโยคตัวอย่างข้างต้น เป็นคำนามที่แสดงอาการมักมีคำว่า การ หรือ ความ นำหน้า เช่น การพูด การเขียน ความรัก ความเมตตา ฯลฯ เรียกว่า อาการ นาม

๒. คำ สรรพนาม
ในการพูดหรือการเขียน เมื่อใช้คำนามคำหนึ่ง และจะกล่าวถึงคำนั้นๆในโอกาสต่อไป มักมีคำเรียกแทนคำนามนั้น คำชนิดนี้เรียกว่า คำสรรพนาม
อ่าน และพิจารณาประโยคต่อไปนี้
๑) วันนี้คุณยายไม่สอนฉันเย็น กระทง เพราะท่านไม่สบาย
๒) คุณมี ความเห็นเหมือนเขาหรือไม่
คำว่า ฉัน ท่าน คุณ เขา เป็นคำสรรพนามใช้แทนผู้พูด ผู้ฟัง และผู้ที่ถูกกล่าวถึง เรียกว่า คำสรรพนามแทนบุคคล มีคำอื่นๆอีก เช่น
ดิฉัน ผม อาตมา ข้าพเจ้า ฯลฯ แทนผู้พูด
พระองค์ เธอ ท่าน แก ฯลฯ แทนผู้ฟัง
เขา เธอ มัน ท่าน ใคร ฯลฯ แทนผู้ที่ถูกกล่าวถึง
๓) นั่น อ่านว่าอย่างไร
คำว่า นั่น เป็นคำสรรพนามที่บอกความหมายเฉพาะเจาะจง เรียกว่า คำสรรพนามชี้ เฉพาะ มีคำอื่นๆอีกคือ นี่ โน่น นู่น
๔) เขาไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลย
คำว่า ใคร เป็นคำสรรพนามที่มีความหมายทั่วๆไป ไม่เฉพาะเจาะจง เรียกว่า คำ สรรพนามไม่ชี้เฉพาะ มีคำอื่นๆ อีกคือ อะไร ไหน ผู้หนึ่งผู้ใด
๕) ใครเป็นคนเย็บกระทงห่อหมก
คำว่า ใคร เป็นคำสรรพนามที่ใช้เป็นคำถาม เรียกว่า คำสรรพนามถาม มีคำอื่นๆอีกคือ อะไร ไหน
๖)คนไทยสมัยก่อนต่างก็ รู้จักใช้ประโยชน์จากต้นกล้วย
คำว่า ต่าง เป็นคำสรรพนามใช้เพื่อแยกคำนามออกเป็นส่วนๆเรียกว่า คำสรรพนามแยก ฝ่าย มีคำอื่นๆอีกคือ บ้าง กัน

.คำ กริยา
คำกริยา เป็นคำที่บอกอาการ หรือ บอกสภาพของคน สัตว์ พืช สิ่งของ เครื่องใช้

ยิ้ม วิ่ง ล้ม กิน ตี เป็นคำกริยาบอกอาการ
อ้วน ผอม ฉลาด โง่ เก่า ใหม่ เป็นคำกริยาบอกสภาพ

อ่าน และพิจารณาประโยคต่อไปนี้
๑) ภูเขาถล่มเมื่อวานนี้
๒) นัก กีฬาวิ่งรอบสนาม
คำว่า ถล่ม วิ่ง ไม่ต้องมีกรรมตามหลังก็ได้ใจความ คำกริยาประเภทนี้ เรียกว่า คำ กริยาอกรรม
๓) คุณยายเย็บกระทง
๔) ช่างสลักกาบ กล้วยให้เป็นลวดลาย
คำว่า เย็บ สลัก ต้องมีกรรม(คำที่พิมพ์ตัวเอน)ตามหลัง จึงจะได้ใจความสมบูรณ์ คำกริยาประเภทนี้เรียกว่า คำกริยาสกรรม
๕) เขาเหมือนฉัน
๖) ข้าวเป็นอาหาร ของคนไทย
๗) เชื่อกันว่าไม้มงคลคือพืชที่นำความเจริญมา ให้ผู้ปลูก
คำว่า เหมือน เป็น คือ เป็นคำกริยาที่ต้องมีคำนาม หรือ คำสรรพนามซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนเติมตามหลังเสมอ คำกริยาประเภทนี้เรียกว่า คำกริยาเติมเต็ม

.คำวิเศษณ์
คำที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ด้วยกันเพื่อให้ เนื่อความชัดเจนขึ้นเรียกว่า คำวิเศษณ์ คำวิเศษณ์มักจะอยู่หลังคำที่นำมาขยาย
อ่านและพิจารณา

ประโยค

คำวิเศษณ์

ชนิดของคำวิเศษณ์

๑.พราหมณ์เฒ่าเป็นคนเจ้าปัญญา เฒ่า, เจ้าปัญญา ขยายคำนาม (พราหมณ์,คน)
๒.นักเรียนกำลังสนใจคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ เครื่องใหม่ ขยายคำนาม (คอมพิวเตอร์)
๓.ฉันเองเป็นคนทำ เอง ขยายคำสรรพนาม (ฉัน)
๔.เราไม่อยากนึกถึงใครคนนั้นอีกแล้ว คนนั้น ขยายคำสรรพนาม (ใคร)
๕.เด็กๆพูดจาไพเราะ ไพเราะ ขยายคำกริยา (พูดจา)
๖.ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์มากมาย มากมาย ขยายคำกริยา (มี)
๗.น้ำในคลองเหลือน้อยจริงๆ จริงๆ ขยายคำวิเศษณ์ (น้อย)
๘.ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์มากมายมหาศาล มหาศาล ขยายคำวิเศษณ์ (มากมาย)

.คำ บุพบท
คำที่อยู่ข้างหน้าคำนาม หรือคำสรรพนาม แล้วทำหน้าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำนาม หรือคำสรรพนาม ในประโยค เรียกว่า คำบุพบท
คำบุพบท แบ่งออกได้เป็น ๔ ชนิด คือ
๑.บุพบทบอกสถานที่ เช่น ที่ นอก ใน ใต้ บน ใกล้ ไกล ฯลฯ
๒.บุพบทบอกความเป็นเจ้าของ เช่น ของ แห่ง ฯลฯ
๓.บุพบทบอกความประสงค์หรือความเกี่ยวข้อง เช่น กับ แก่ แต่ ต่อ เฉพาะ สำหรับ เพื่อ โดย ตาม ฯลฯ
๔.บุพบทบอก เวลา เช่น เมื่อ ตั้งแต่ แต่ จนกระทั่ง ฯลฯ
อ่านและพิจารณา

ประโยค

คำบุพบท

ชนิดของคำบุพบท

เด็กๆในละแวกบ้านมารวมกันที่หาดทราย ใน, ที่ บอกสถานที่
บ้านของดำอยู่ไกลโรงเรียน ไกล บอกสถานที่
ภูเก็ตเป็นเมืองแห่งความฝัน แห่ง บอกความเป็นเจ้าของ
คุณพ่อของฉันใจดี ของ บอกความเป็นเจ้าของ
ฉันจะให้เงินเฉพาะคนขอทาน เฉพาะ บอกความประสงค์/เกี่ยวข้อง
แพทย์ทำงานหนักเพื่อคนไข้ เพื่อ บอกความประสงค์/เกี่ยวข้อง
เพื่อนๆมาถึงโรงเรียนตั้งแต่เช้าแล้ว ตั้งแต่ บอกเวลา
ชาวสวนรดน้ำผักจนกระทั่งเที่ยง จนกระทั่ง บอกเวลา

.คำ สันธาน
ในการใช้ภาษาโดยทั่วไป เมื่อต้องการให้ประโยคต่อเนื่องกันไป โดยมีใจความเกี่ยวข้องกันในลักษณะต่างๆ เช่น ใจความคล้อยตามกัน ชัดแย้งกันเป็นเหตุเป็นผลกัน หรือให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราต้องใช้คำมาเชื่อมประโยคเหล่านี้ คำที่ใช้เชื่อมประโยดเรียกว่า คำ สันธาน คำสันธานอาจใช้คำเดียว หรือหลายคำก็ได้
อ่านและพิจารณา

ประโยค

คำสันธาน

ใจความ

๑.เราทำงานเสร็จก็รีบกลับบ้าน

ก็

คล้อยตามกัน
๒.พอครูเข้ามานักเรียนก็เลิกคุย

พอ….ก็

คล้อยตามกัน
๓.บางจังหวัดทั้งฝนตกและน้ำท่วม

ทั้ง….และ

คล้อยตามกัน
๔.แดงชอบกินข้าวแต่ไม่ชอบกินขนม

แต่

ขัดแย้งกัน
๕.เขาวิ่งเร็วมากแต่ว่าไม่เหนื่อยเลย

แต่ว่า

ขัดแย้งกัน
๖.ผู้หญิงคนนั้นพูดเพราะแต่ทว่าใจร้ายจริงๆ

แต่ทว่า

ขัดแย้งกัน
๗.เพราะไม่มีเงินลงทุนเขาจึงไม่ค้าขาย

เพราะ…จึง

เป็นเหตุเป็นผลกัน
๘.เราอยากเรียนในระดับสูงๆเพราะฉะนั้นจึงต้องขยันเรียน

เพราะฉะนั้น…จึง

เป็นเหตุเป็นผลกัน
๙.ไฟฟ้าดับทั้งอำเภอเราเลยไม่ได้ดูละคร

เลย

เป็นเหตุเป็นผลกัน
๑๐.ประภาทำสมุดฝากเงินหาย ดังนั้นจึงเบิกเงินไม่ได้

ดังนั้น…จึง

เป็นเหตุเป็นผลกัน
๑๑.เธอจะไปที่ทำการไปรษณีย์หรือจะไปตลาด

หรือ

เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
๑๒.วันหนึ่งๆเราเห็นเขาไม่กินก็เล่น

ไม่…ก็

เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
๑๓.ดึกแล้วทำการบ้านให้เสร็จไม่ก็นอนเสีย

ไม่ก็

เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง


.คำ อุทาน
คำที่เปล่งเสียงออกมาเพื่อแสดงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ของผู้พูด เช่น ตกใจ ดีใจ เสียใจ แปลกใจ โล่งใจ สงสาร ขื่นขม ฯลฯ เรียกว่า คำ อุทาน
คำอุทานมักอยู่หน้าประโยคและมีเครื่องหมายอัศเจรีย์(!) อยู่หลังคำอุทานนั้น เช่น

ว้าย! ช่วยด้วย มนุษย์ต่างดาว แสดงความตกใจ
เฮ้อ! แต่งคำประพันธ์นี่ยากจริงๆ แสดงความท้อใจ
สะดุ้งตื่น เอ๊ะ! ไม่ตาย อ๋อ! ฝันไป แสดงความแปลกใจ โล่งใจ
เอ๊ะ! นั่นใคร แสดงความสงสัย
โอ้โฮ! คำประพันธ์ของคุณย่าเยี่ยมจริงๆ แสดงความชื่นชม
ไชโย! ทำการบ้านเสร็จแล้ว แสดงความดีใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น